ข้อมูลด้านกฎหมายและการรักษาความสงบเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หมายเหตุ : เราไม่ใช่ทนายและต่อไปนี้ก็ไม่ใช่คำแนะนำด้านกฎหมาย
การจับกุม
เราอาจถูกจับกุมในที่ประท้วงได้ใน 4 กรณี
1. ดื้อแพ่ง
เมื่อผู้ชุมนุมตัดสินใจทำปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดที่จงใจละเมิดกฎหมาย และตั้งใจจะถูกจับกุมเพื่อชูประเด็นความไม่ยุติธรรมของระบบ การจับกุมกรณีนี้ (และแม้แต่การแจ้งข้อหา) บางครั้งก็มีการเตรียมเจรจากับตำรวจไว้แล้วล่วงหน้า แต่บางครั้งก็ไม่มี บ่อยครั้งที่กลุ่มจัดปฏิบัติการดื้อแพ่งมักจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในความสงบที่สุด เพื่อที่ว่าสถานการณ์จะปลอดภัยมากพอให้ผู้สูงอายุเข้าร่วมได้โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
2. ไม่ยอมสลายตัว
สิทธิที่จะ “ชุมนุมโดยสงบ” ในพื้นที่สาธารณะเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจมักไม่ยอมรับสิทธิข้อนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกว่าพอได้แล้วก็จะจัดการเอาเราออกไป บางครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจออกคำสั่งให้เราสลายตัวด้วยการขู่ว่าถ้าใครยังอยู่ในบริเวณนั้นจะถูกจับกุมและ/หรือใช้จะอาวุธ “ไม่ร้ายแรง” ถึงจุดนี้บางคนก็ยอมสลายตัวแต่อีกหลายคนยังคงอยู่ต่อ เวลานี้เป็นเกมด้านจำนวนกับภูมิประเทศ ถ้าคนน้อยกว่าร้อยคนเป็นไปได้ที่ตำรวจจะลงมือจับกุม แต่ถ้าคนมากกว่าร้อยก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากมากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีไม่กี่ครั้งหรอกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคน 500–600 คน ถ้าคนสองสามร้อยอยู่ในพื้นที่ ความเป็นไปได้ที่จะจับกุมจะต่ำไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะพูดขู่ยังไงก็ตาม ถึงจุดนี้ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้อาวุธไม่ร้ายแรง จงเฝ้ามองหาทางออกไว้ เกาะกลุ่มกันไว้ แล้วจำไว้ว่าถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธไม่ร้ายแรงแสดงว่าต้องการไล่ผู้ชุมนุมให้กระจายกัน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะปล่อยคนส่วนมากไป คุณมักจะปลอดภัยถ้าอยู่ในกลุ่มใหญ่ และจะดีที่สุดถ้าทั้งกลุ่มอยู่ด้วยกัน เพื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่สามารถดึงบางคนออกไปหรือทำร้ายกลุ่มเล็ก จงเกาะกลุ่มกันเข้าไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว!
3. การเข้าจับกุมไว้ก่อน
บางครั้งตำรวจก็คิดว่า ชีวิตของพวกเขาจะง่ายขึ้นอีกนิด ถ้าพวกเขาเข้าจับกุมคนก่อนที่พวกเหล่านั้นจะใช้สิทธิในการพูดอย่างเสรีจริงๆ บางครั้งมีการบุกเข้าจับกุมในที่ประชุม พื้นที่ที่จะจัดงาน หรือปิดล้อมและจับกุมคนกลุ่มเล็กๆ (20-50 คน) หรือคนที่กำลังอยู่ระหว่างทางไปประท้วง คนที่ไปพบกันในสวนสาธารณะ เป็นต้น เป้าหมายของการจับกุมแบบนี้ก็คือการทำให้ประชาชนออกไปพ้นท้องถนนสักสองสามวัน จริงๆ แล้วไม่มีทางใดเลยที่จะหลีกเลี่ยงการจับกุมแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกังวลกับเรื่องนี้ และเช่นกัน มีหลายครั้งที่ตำรวจเคลื่อนที่ไปมาเพื่อที่จะสร้างความกลัวการ “บุกโจมตี” ซึ่งเกือบจะทุกครั้งเป็นยุทธวิธีก่อกวนที่ทำให้งานของพวกเราสะดุด นี่เป็นเวลาที่จะต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าเราไม่อาจปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำได้จริงๆ เป็นการดีที่สุดที่เราจะจดจ่อกับงานของเรา และตระหนักว่ามีคนที่เก่งๆ และฉลาดเฉลียวอีกมากมายอยู่กับเราในที่นั้น แต่ถ้าคุณเกิดถูกจับตอนที่เขาบุกโจมตีขึ้นมาจริงๆ เนื่องจากพวกเราโดยทั่วไปแล้วไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร จึงเป็นการยากที่จะถูกพิพากษาลงโทษ แต่นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องแน่ใจว่าคุณไม่ได้พกอะไรที่อาจจะถูกหาว่าเป็นอาวุธได้ (เช่นตะไบขัดเล็บที่เป็นโลหะ หรือมีดสวิสอาร์มี) เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนั้น คุณอาจจะถูกข้อกล่าวหาซึ่งอาจจะติดคุกได้ จงทำตัวเองให้ผ่อนคลายในคุก เรียนรู้บทเพลงใหม่ๆ และจัดปฏิบัติการให้ความรู้ในนั้น คุณจะอยู่ที่นั่นพร้อมกับคนที่สุดยอดอีกหลายคน และจะเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีมาก
4. การจับตัวแบบกำหนดเป้าหมาย
จะมีคนสองประเภทที่เป็นเป้าหมายของการจับกุมแบบนี้
(1) คนที่ตำรวจคิดว่าเป็น “คนจัดงาน” ซึ่งคนนี้จะถูกตั้งข้อหาสมคบกันก่อคดีอาญาอุกฉกรรจ์ และจะถูกกักตัวไว้โดยการจับเข้าห้องขังหรือจ่ายค่าปรับแพงหูฉี่
(2) ดูจะเป็น “การฉกตัว” แบบเดาสุ่มเป็นการสร้างความกลัวให้กับผู้คน
ถ้าคุณเป็นประเภท (1) ก็อย่าทำตัวเด่น และการป้องกันอย่างเดียวสำหรับประเภทที่ (2) ก็คือให้แน่ใจว่ามีใครสักคนคอยระวังหลังให้คุณ เมื่อทุกคนอยู่รวมกันใกล้ๆ และระวังระไว พวกเขามักจะขัดขวาง “การฉกตัว” ไว้ได้
ความเป็นเอกภาพในคุก :
ถ้าคุณถูกจับในที่ประท้วง แต่คุณไม่ได้ตั้งใจจะถูกจับ เป็นไปได้ที่คุณจะถูกจับพร้อมกับคนอื่นๆ อีกหลายคน ถ้าคุณต้องการจะลดข้อกล่าวหาให้น้อยที่สุดแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำในสถานการณ์เช่นนี้ก็คือการเข้าร่วมกับกิจกรรมเพื่อแสดงความเป็นเอกภาพในคุกบ้าง ลองอ่านคำแนะนำของกลุ่มจัสต์คอส เกี่ยวกับ “ความเป็นเอกภาพในคุก” (ในภาคผนวก) ซึ่งเรื่องหลักๆ ที่จะต้องรู้เกี่ยวกับความเป็นเอกภาพในคุกได้แก่:
- แม้ว่าคุณไม่ได้วางแผนที่จะถูกจับกุม จงอย่าพกบัตรประชาชน (หรืออะไรก็ตามที่มีชื่อของคุณปรากฏ) ถ้าคุณถูกจับโดยไม่ได้คาดหมาย จะเป็นการดีที่สุดที่จะเข้าร่วมใน “การแสดงความเป็นเอกภาพในคุก” ถ้าคุณพกบัตรประชาชน คุณจะไม่อาจเลือกทำแบบนี้ได้ แต่ถ้าคุณไม่ได้พกบัตร คุณจะยังคงมีทางเลือกว่าจะบอกชื่อหรือไม่
- ถ้าคุณถูกจับ คุณควรเริ่มใช้ชื่อเล่นของคุณกับคนอื่นๆ ที่ถูกจับไว้ในรถคันเดียวกันโดยทันที เมื่อตำรวจถามชื่อคุณ ก็บอกว่าคุณขอปฏิเสธที่จะบอก จากนั้นก็เรียกกันแต่ชื่อเล่นตลอดระยะเวลาที่ถูกควบคุมตัว รวมทั้งตอนที่พูดโทรศัพท์ อยู่ในห้องขัง และอื่นๆ ด้วย
- บัตรประชาชนทุกใบของกลุ่มควรจะเอาไปซ่อนไว้ด้วยกันที่บ้านในจุดที่ผู้หนุนช่วยด้านกฎหมายจะรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
- ขอย้ำอีกครั้ง ความเป็นเอกภาพในคุกเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรรู้เอาไว้ แม้ว่าคุณไม่ได้วางแผนว่าจะถูกจับกุม ทุกๆ ควรจะศึกษาเรื่องราวพื้นฐานของความเป็นเอกภาพในคุกไว้ให้เชี่ยวชาญ เรื่องนี้จะสำคัญเป็นพิเศษในกรณีที่ถูกจับโดยไม่คาดฝัน
สิทธิของคุณ :
มีอยู่ในทฤษฎี ไม่ใช่บนท้องถนน การรักษาความสงบเรียบร้อยของการประท้วงมักจะมาในรูป “เอาพวกมันออกไปจากที่นี่ และให้ศาลไปตัดสินเองสักสองสามเดือนก็แล้วกันว่าถูกกฎหมายหรือไม่” แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงเป็นการดีที่จะรู้ถึงสิทธิของคุณ เพื่อที่ว่าคุณจะตระหนักได้ว่าสิทธิข้อไหนถูกละเมิด บางครั้งบางคราวก็แสดงออกมาบ้างว่าคุณรู้สิทธิของคุณจะเป็นการป้องกันไม่ให้ตำรวจประพฤติมิชอบได้ บางครั้งการละเมิดสิทธิก็จะช่วยคดีของคุณในศาลด้วย ขอให้อ่าน “ข้อมูลด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเผชิญกับตำรวจ” ที่อยู่ในภาคผนวก ซึ่งจะมีข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งคำถาม การกักตัว การค้น การจับกุมด้วย
ถ้าคุณเป็นพยาน (หรือเป็นเหยื่อ) ของการประพฤติมิชอบของตำรวจ เช่นการใช้กำลังเกินจำเป็น เป็นต้น ก็ให้เขียน “แบบฟอร์มรายงานการประพฤติมิชอบของตำรวจ” (ดูในภาคผนวก) โดยเร็วที่สุดในขณะที่ข้อมูลยังสดใหม่อยู่ และส่งให้กับทีมกฎหมาย เพื่อที่พวกเขาจะใช้เป็นส่วนหนึ่งของคดีและการฟ้องคดีในนามกลุ่มบุคคล
การหนุนช่วยด้านกฎหมาย:
โครงสร้างของการหนุนช่วยทางกฎหมายต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการคือ
[1] ในภาคสนามที่มีการปฏิบัติการ ทีมกฎหมายซึ่งจะจัดเตรียมโดยคณะกรรมการเจ้าภาพ จะจัดหาทนายและให้การช่วยเหลือช่วงที่อยู่ในคุกให้กับคนที่ถูกจับกุมทุกคน แต่ละกลุ่มเครือสหายที่เดินทางมาร่วมปฏิบัติการจะจัดเตรียมองค์ประกอบที่เหลือ 2 ประการ[2] สมาชิกของกลุ่มเครือสหาย 1 คนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้หนุนช่วยด้านกฎหมายภาคสนาม คนคนนี้จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างสีเขียวตลอดระยะเวลาการปฏิบัติการ และคนคนนี้จะเคลื่อนไหวด้วยเกียร์สูงถ้าใครสักคนในกลุ่มเครือสหายถูกจับ เขามีหน้าที่ต้องเกาะติดคนที่ถูกจับเหล่านั้นในทุกขั้นตอนของระบบกฎหมาย ติดต่อกับทีมกฎหมายของปฏิบัติการตลอดเวลา และสื่อสารกับองค์ประกอบที่ 3 ซึ่งก็คือผู้หนุนช่วยด้านกฎหมายในเมืองของคุณ
[3] ต้องมีคนหนึ่งคนที่เต็มใจอุทิศตัวเองให้อยู่ใกล้โทรศัพท์ และให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายตลอดเวลาของการทำปฏิบัติการ นี่เป็นบทบาทที่ดีสำหรับคนที่ต้องการมีส่วนร่วมในปฏิบัติการแต่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่บ้าน และก็เป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยบรรดาคนรัก/คู่ครองที่อยู่ที่บ้านให้รู้สึกว่าตัวเองไม่หลุดออกไป คนที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่บ้าน มีหน้าที่ดังนี้
- ถือระเบียนรายละเอียดของคนแต่ละคนที่เข้าร่วมการเดินทางตัวอย่างใบระเบียนดูได้ในภาคผนวก
- ชื่อเล่น
- ชื่อจริง
- คนที่ติดต่อกรณีฉุกเฉิน (พ่อแม่ คนรัก และคนอื่นๆ ที่ต้องรับทราบข้อมูลล่าสุดเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน)
- คนที่ติดต่อกรณีที่กลับล่าช้า (เจ้านาย เป็นต้น) และข้อความที่จะบอกกับพวกเขา
- ข้อมูลด้านการแพทย์กรณีฉุกเฉิน
- วิธีการที่จะรวบรวมเงินประกันตัวหรือเงินฉุกเฉินอื่นๆ สำหรับคนหนึ่งๆ (เลขที่บัตรเครดิต วิธีติดต่อกับครอบครัว เป็นต้น)
- ตามตัวได้ทางโทรศัพท์ตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงวันที่ทำปฏิบัติการ
- ติดต่อกับคนต่างๆ ดังกล่าวในกรณีที่คนหนึ่งคนใดถูกจับ ได้รับบาดเจ็บหรือกลับล่าช้า
- จัดหาเงินประกันตัว ถ้าจำเป็น (คนคนนี้ควรจะมีรายชื่อผู้อุปถัมภ์ในท้องถิ่นด้วย ซึ่งก็คือคนที่จะติดต่อไปได้ตอนที่จัดหาเงินประกันตัวในกรณีเร่งด่วน)
- จัดหาคำแนะนำและความช่วยเหลือให้กับผู้หนุนช่วยด้านกฎหมายภาคสนาม จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้หนุนช่วยด้านกฎหมายในเมืองของคุณจะทำความคุ้นเคยกับขั้นตอนทางกฎหมายและคู่มือด้านกฎหมายที่กล่าวถึงข้างต้น
- ติดต่อทีมสื่อมวลชนในเมืองของคุณ
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย
มีหลายเรื่องเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งสวนทางกับสามัญสำนึก เช่น
ตำรวจรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่
ในสหรัฐอเมริกา นอกจากกรุงวอชิงตันแล้วตำรวจค่อนข้างจะไม่คุ้นเคยกับการรักษาความสงบเรียบร้อยในการประท้วง พวกเขาไม่คุ้นเคยกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และอย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็กลัวเหมือนกับคุณนั่นแหละ พวกเขารู้สึกว่าสถานการณ์อยู่เหนือการควบคุมของพวกเขาแล้ว รู้ว่ามีความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อพวกเขา และรู้สึกไม่ปลอดภัย อาจจะมีคำสั่งที่ขัดแย้งกันเองหลายคำสั่งด้วย ความสับสนของพวกเขาเป็นเหตุผลที่ดีที่จะอยู่ในพื้นที่นั้นเมื่อสิ่งต่างๆ เริ่มจะร้อนแรงขึ้น เพราะคุณอาจจะเห็นพวกเขาล่าถอย สะดุด ไปกันคนละทิศละทาง หรืออาจทำอะไรผิดพลาดที่ตลกๆ
ตำรวจมีอำนาจทุกอย่าง
ในบางสถานการณ์ พวกเขาอาจจะมีอำนาจมาก แต่ประชาชนได้ใช้ยุทธวิธีต่างๆ หลากหลายเพื่อยืนยันอำนาจของตนเอง หลีกหนีการจับกุม ลดพื้นที่หรือความรุนแรงของการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น ขัดขวางการกระทำที่โหดเหี้ยม ช่วยคนให้พ้นจากอันตราย บ่อยครั้งทีเดียวที่นักกิจกรรมจะมีไหวพริบเหนือกว่า วิ่งเร็วกว่าพวกตำรวจ และกันพวกตำรวจออกไปได้
ตำรวจทำตามกฎหมาย
บ่อยทีเดียวที่ตำรวจไม่รู้กฎหมาย ยิ่งบ่อยครั้งกว่าอีกที่พวกเขาได้รับการสนับสนุนให้กระทำการที่ละเมิดกฎหมายซึ่งหน้า และละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของคุณเพื่อรับใช้กฎหมายจราจรอันสูงส่งกว่าและรับใช้การปล้นสดมภ์ของพวกบรรษัท
ตำรวจคิดอย่างเดียวกับพูด
ร้อยละ 99 ของการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในที่ประท้วง เป็นแผนการที่จะกลั่นแกล้งคุณ พวกเขาทำงานอย่างหนักเพื่อให้คุณเชื่อว่าพวกเขาควบคุมทุกอย่างได้ ให้เชื่อว่าพวกเขาอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกเขาเห็นหมดทุกเรื่อง พวกเขาจะจับคุณถ้าคุณทำเรื่องอะไรลับๆ ล่อๆ ดังนั้นแม้ว่าตำรวจจะทำทั้งเรื่องลับๆ ล่อๆ เรื่องผิดกฎหมายและเรื่องโหดเหี้ยมก็ตาม แต่นักประท้วงเองก็สามารถจะทำเรื่องที่พวกเขาตั้งใจมาทำได้เกือบทั้งหมด นอกจากนี้ตำรวจยังมีพฤติกรรมวาจาที่มิชอบอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือพวกเขาโกหกได้โดยไม่ผิดกฎหมาย หมายความว่า ไม่ว่าพวกเขาจะทำข้อตกลงกับนักประท้วงว่าพวกเขาจะประพฤติตัวแบบไหนก็ตาม พวกเขาสามารถประพฤติตัวแบบอื่นได้ (และมักจะทำด้วย) เนื่องจากพวกเขานั้นเชื่อถือไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นไม่ต้องไปกังวลกับพวกเขาและจดจ่ออยู่กับงานของคุณเป็นดีที่สุด
ผู้แปล: ลภาพรรณ ศุภมันตา
แปลจาก “mass action handbook: getting your community on the road and into the street”, http://www.uproot.info/actionhandbook/index.html
Photo by Rad Pozniakov on Unsplash